7 เคล็ดลับสร้างแรงจูงใจให้ออกกำลังกาย

7 เคล็ดลับ สร้างแรงจูงใจให้ออกกำลังกาย

          คงไม่มีใครปฏิเสธว่าการได้ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนั้นดีต่อสุขภาพกายและจิตใจอย่างไร แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถชักจูงตัวเองให้ทำสิ่งนี้ไปได้ตลอดรอดฝั่งโดยอาศัยสารพัดข้ออ้างมากมาย เราจะเปลี่ยนประโยคที่พูดกับตัวเองอยู่เสมอว่า “ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว เอาไว้พรุ่งนี้ละกัน!” มาเป็น “รอมาทั้งวันแล้ว ได้เวลาออกไปยืดเส้นยืดสายสักที!” ได้อย่างไร

 

          วิธีการออกกำลังกายนั้นมีมากมายหลากหลายรูปแบบ ที่ทำได้ง่ายและเป็นที่นิยมมักจะเป็นการเดิน วิ่ง ขี่จักรยาน กายบริหาร หรือการเล่นกีฬาประเภทต่างๆ เราจึงไม่จำเป็นต้องไปจำกัดตัวเองอยู่กับการทำอย่างใดอย่างหนึ่งจนทำให้เกิดความเบื่อหน่ายและขาดแรงจูงใจที่จะทำ ต่อไปนี้เป็น 9 สิ่งที่ควรทำหากต้องการผลักดันตัวเองเข้าสู่โหมดการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอให้ได้โดยเร็ว

 

1.หาเพื่อนออกกำลังกาย สร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน

          การมีเพื่อนร่วมออกกำลังกายด้วยกันย่อมดีกว่า ทำให้สนุกขึ้น อีกทั้งยังเป็นแรงจูงใจให้กัน พากันไปออกกำลังกาย สามารถเล่นกีฬาได้หลากหลายประเภท ทั้งเดินเร็ว วิ่ง ขี่จักรยาน ตีแบด เต้นรำ โยคะ ฯ หากคุณมีแฟน แนะนำว่าให้ช่วยเป็นแรงกระตุ้นซึ่งกันและกัน ในการลุกขึ้นมาออกกำลังกาย บางวันที่เรากำลังหาข้ออ้างขี้เกียจไปออกกำลังกาย ก็ให้คุณแฟนเป็นคนลากเราไป ซึ่งเป็นแรงจูงใจที่ดี ทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้นด้วย

 

2.เลือกประเภทการออกกำลังกายให้เหมาะสม

          แต่ละคนมีความชอบ และสภาพร่างกายที่แตกต่างกันไป บางคนชอบเห็น ชอบพูดคุยกับผู้คน ไม่ชอบทำอะไรคนเดียว ดังนั้นการออกกำลังกายที่เหมาะสม ก็ควรจะมีเพื่อนคุย เพื่อนออกกำลังไปด้วยกัน เช่น การปั่นจักรยาน การตีแบด การเล่นฟุตบอล การวิ่ง ฯ แต่บางคน ก็ไม่ชอบความพลุกพล่าน อยากออกกำลังกายเงียบ ๆ ก็จะเหมาะกับกีฬาที่สามารถเล่นคนเดียวได้ เช่น เดิน วิ่ง รวมถึงการเล่นเวทเทรนนิ่งที่บ้าน โดยมีเพียงดับเบล บาร์เบล ก็สามารถเริ่มออกกำลังกายได้

          สำหรับคนที่มีปัญหาเรื่องข้อเข่า ข้อแขน หรือคนที่มีน้ำหนักตัวมาก ก็ควรเลือกกีฬาที่ไม่กระเทือนต่อข้อเข่า ข้อต่อ มากเกินไป เช่น ว่ายน้ำ โยคะ แกว่งแขน เดินเร็ว ฯ ซึ่งจะลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บลง และจะทำให้ออกกำลังกายได้นานขึ้น เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องการบาดเจ็บนั่นเอง

 

3. หาต้นแบบ

          ไม่ว่าจะเป็นรูปศิลปินดาราที่เราชื่นชอบหรือไอดอลและยูทูบเบอร์ต่าง ๆ คนเหล่านี้ก็ล้วนแล้วแต่จต้องดูแลรูปร่างด้วยกันทั้งนั้นค่ะ ซึ่งหนึ่งในวิธีการดูแลรูปร่างให้ดูดีก็คือการออกกำลังนั่นเอง และในบางครั้งคนเหล่านี้ก็จะเผยข้อมูลเรื่องการออกกำลังของตัวเองด้วย ไม่ว่าจะเป็นท่าออกกำลังที่มักจะทำบ่อย ๆ หรือสไตล์การออกกำลังที่ชอบ ซึ่งเราก็สามารถนำเทคนิคของบุคคลเหล่านี้มาเป็นต้นแบบให้กับเราได้ หรือแม้แต่การติดตามผลงานบ่อย ๆ เราก็จะได้เห็นบุคลิกและรูปร่าง ซึ่งเราก็สามารถนำมาเป็นต้นแบบในการออกกำลังเพื่อที่จะมีรูปร่างดีแบบนั้นได้ค่ะ

 

4.วางแผนการออกกำลังกาย

           การเดินตามแผนอย่างเคร่งครัดก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานค่อนข้างมาก จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครๆจะไม่อยากทำให้ตัวเองรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ความยากของขั้นตอนนี้จึงเป็นการเอาชนะใจตัวเองให้ทำตามแผน พยายามกำหนดให้ทำอย่างสม่ำเสมอ โดยค่อยๆเพิ่มความหนักและความถี่เพื่อให้ร่างกายได้ปรับตัว เกิดความเคยชินและคิดถึงความสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่ได้ออกกำลังกาย ทำให้เป็นกิจวัตรจนรู้สึกว่าขาดอะไรไปหากไม่ได้ออกแรง

 

5.ฟังเพลงที่ชอบตอนออกกำลังกาย

          การฟังเพลงที่ชอบไปกับกิจกรรมที่เราทำ จะช่วยทำให้เรามีความสุข และเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมนั้นมากขึ้น อย่างเช่นเวลาเราทำงาน การที่เราฟังเพลงไปด้วยทำงานไปด้วย ก็จะทำให้เราสนุกไปกับงานนั้นมมากขึ้น การออกกำลังกายก็เช่นเดียวกันค่ะ การเปิดเพลงชอบคู่ไปกับการวิ่ง ก็จะช่วยให้เราเพลิดเพลินไปกับการออกกำลังกาย ไม่เบื่อ และดนตรีจะช่วยทำให้เรารู้สึกสนุกมากขึ้น

 

6.สภาพแวดล้อมไม่ใช่ข้อจำกัด

          ข้อจำกัดเรื่องเวลาและสถานที่มักถูกนำมาใช้เป็นข้ออ้างชั้นดีในการผัดผ่อนที่จะไม่ทำ ได้กล่าวมาก่อนหน้านี้ว่าการออกกำลังกายมีหลากหลายวิธี เราจึงสามารถปรับรูปแบบให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนได้เสมอ คนที่ชอบออกกำลังกายกลางแจ้ง เพลิดเพลินกับการชมนกชมไม้ ก็อาจฝึกใช้อุปกรณ์เครื่องออกกำลังช่วยเมื่อเวลาหรือสภาพอากาศไม่อำนวย บางคนสะดวกเฉพาะในร่ม ก็อาจลองออกแดดเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศกระตุ้นให้อยากทำอะไรใหม่ๆบ้างในบางครั้ง

 

7.ลองลงแข่งขันดูบ้าง

           การออกกำลังกายในหลายประเภทมักมีการรวมกลุ่มผู้สนใจมาเข้าร่วมแข่งขันกันตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นการเดิน-วิ่ง ขี่จักรยาน หรือแม้แต่การเต้นแอโรบิค ซึ่งมีให้เลือกทั้งแบบจริงจังและแบบมีส่วนรวมในการกุศล สิ่งนี้เองที่กระตุ้นให้เรามีความตั้งใจอยากที่จะฝึกซ้อมเพิ่มขึ้น แม้ไม่ได้คำนึงถึงผลแพ้-ชนะ อย่างน้อยก็ช่วยให้เราได้รู้สมรรถภาพทางร่างกาย ได้แข่งขันกับตัวเองเพื่อมุ่งไปสู่เป้าหมายอันเป็นความสำเร็จส่วนตัวที่ทำให้ยิ้มกับตัวเองทุกครั้งที่นึกถึง นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางในการเปิดโอกาสที่ดีให้กับตัวเองได้พบปะกับกลุ่มเพื่อนที่สนใจในสิ่งเดียวกันได้อีกด้วย